น้ำหอม

9 น้ำหอมต้อนรับซัมเมอร์ ฉีดแล้วแซ่บสุดซอย

เราเชื่อว่าสาว ๆ ของ Helena ต่างก็มีน้ำหอมกลิ่นโปรดเป็นของตัวเอง แต่ทราบกันไหมคะ? ว่าถ้าเลือกกลิ่นน้ำหอมให้ถูกกับแต่ละฤดูกาล นอกจากกลิ่นจะเข้ากันกับฤดูนั้น ๆ มันยังเพิ่มเสน่ห์จรุงใจไม่รู้จบให้กับเจ้าของด้วย

Helena ได้เลือกสรร 9 น้ำหอมต้อนรับซัมเมอร์ ที่คัดมาแล้วว่ากลิ่นไปกันได้ดีกับซัมเมอร์นี้ของบ้านเรา ให้สาว ๆ ฉีดแล้วแซ่บสุดซอยกันไปเลย

น้ำหอม

เข้าใจ ‘ระดับกลิ่น’ ของน้ำหอมกันก่อน

ก่อนจะไปเลือกน้ำหอมกลิ่นในฝัน อยากให้สาว ๆ ได้ทำความรู้จัก และทำความเข้าใจกับระดับกลิ่นของน้ำหอมกันก่อน น้ำหอมจากเคาน์เตอร์แบรนด์ จะมีระดับกลิ่นที่ค่อนข้างเด่นชัด ไล่ระดับฐานของกลิ่นไปตามแต่ละชั่วโมง เราจะเรียกระดับกลิ่นเหล่านั้นว่า ‘โน้ต’ ซึ่งโน้ตของกลิ่นจะมาก หรือน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับประเภทของน้ำหอมของสาว ๆ ด้วย กระซิบว่า น้ำหอมที่ดี ควรจะมีการเปลี่ยนโน้ต 3 ระดับ เราแนะนำว่า ลองฉีดน้ำหอมไว้จุดที่อุณภูมิสูงอย่าง บริเวณข้อมือ แล้วไปเดินเล่นลั้นลาสัก 2 – 3 ชั่วโมง ก็จะสามารถสัมผัสโน้ตของน้ำหอมนั้นได้พอประมาณ เป็นอีก 1 ตัวช่วย ก่อนจะตัดสินใจซื้อน้ำหอมกลับไปประดับโต๊ะเครื่องแป้งของสาว ๆ

1. Head Notes / Top Notes

ลักษณะกลิ่นของ Head Notes / Top Notes จะโดดเด่นขึ้นมากว่าใคร อันเป็นกลิ่นตัวแรกสุด ที่มาจากหัวน้ำหอมที่ระเหย (เราจะได้กลิ่นโน้ตนี้ตอนเปิดฝาแล้วดม) โดยกลิ่นของท็อปโน้ต จะอยู่ใน 10 – 20 นาทีแรก หลังจากฉีดน้ำหอมลงบนผิว

2. Heart Notes / Middle Notes

กลิ่นน้ำหอมตัวหลักของน้ำหอมที่เราเลือกมาจะเป็นแบบใด สามารถรู้ได้จาก Heart Notes / Middle Notes ระดับของมิดเดิลโน้ต เป็นกลิ่นของหัวน้ำหอมตัวหลักในน้ำหอมชนิดนั้น ๆ กลิ่นจะนุ่มนวล และกลมกลืนไปกับกลิ่น Base notes โดยกลิ่นของมิดเดิลโน้ต จะอยู่ใน 3 – 6 ชั่วโมง หลังจากฉีดน้ำหอมลงบนผิว

3. Base Notes / Back Notes

เป็นกลิ่นส่วนสุดท้ายของน้ำหอม ซึ่งกลิ่นของ 2 โน้ตแรกได้แห้งเหือดไปจากผิวของเราหมดแล้ว กลิ่นของโน้ตนี้ สามารถอยู่ได้นานถึง 24 ชั่วโมง กลิ่นที่ติดผิวจะไม่รุนแรง และที่น่าสนใจคือ กลิ่นในเบสโน้ตที่แต่ละคนได้ จะแตกต่างกัน! ขึ้นอยู่กับกลิ่นตัวตามธรรมชาติของผู้ใช้ สภาพอากาศ กิจกรรมที่ทำระหว่างวัน เป็นต้น เราเรียกกลิ่นในขั้นนี้ว่า ‘Bridge’

4. Bridge

เมื่อกลิ่นของน้ำหอม ผสมรวมเข้ากับกลิ่นตัวตามธรรมชาติของผู้ใช้ จะทำให้เราได้กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง นั่นเป็นสาเหตุของความสงสัยในบางครั้ง ที่ว่า เพื่อนฉีดน้ำหอมขวดเดียวกันกับเรา แต่ทำไมได้กลิ่นที่ไม่เหมือนกัน (และดูเหมือนว่าเค้าจะหอมกว่าซะงั้น)

กลิ่นของ Bridge จะเป็นกลิ่นของน้ำหอมในช่วงท้ายของ Base Notes ที่ติดอยู่บนตัว หลังจากที่น้ำหอมได้ระเหยออกไปจากผิวเราจนเกือบหมด ลักษณะกลิ่นจะอ่อนไหว จนอาจเรียกได้ว่า กลิ่นในโน้ตนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ Base Notes เท่านั้น จึงจำกัดโน้ตไว้แค่ 3 ระดับ โดยไม่รวม Bridge เข้าไปด้วย

การที่กลิ่นของน้ำหอม สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามกลิ่นตัวธรรมชาติของผู้ใช้ เวลาซื้อน้ำหอมที่เราคิดว่าเหมาะกับตัวเอง จึงไม่ควรพิจารณาจากการลองดมเพียงอย่างเดียว

แล้วน้ำหอมกลิ่นไหนบ้าง ที่จะใช่สำหรับซัมเมอร์นี้?  Helena หาคำตอบมาให้สาว ๆ แล้วค่ะ! น้ำหอมกลิ่นไหน มีโน้ตที่โดนใจ ก็พุ่งไปลองกันเลย

น้ำหอม

ซัมเมอร์นี้ ไม่มีน้ำหอมไหนจะเข้ากันได้ดีไปกว่า Eclat d’Arpège EDP น้ำหอมสีม่วงใสจาก LANVIN (ลังแวง) กลิ่นโปร่ง สะอาด ดูสดใส และไร้เดียงสา เหมือนเด็กสาวที่วิ่งเล่นอยู่บนทุ่งหญ้า ท่ามกลางแดดยามบ่าย

Note:

Eclat d’Arpège เปิดตัวด้วยกลิ่นท็อปโน้ตของดอก Wisteria ตามด้วยกลิ่นมิดเดิลโน้ต ที่เป็นพีชฉ่ำ ๆ ดอกพิโอนีแดง และใบชาที่ให้ความสดชื่น ปิดท้ายด้วยกลิ่นเบสโน้ตจากไม้ซีดาร์ขาว บวกด้วยมัสก์ ที่เข้ากันได้ดีกับผู้หญิงทุกคน จบด้วยกลิ่นของแอมเบอร์ ที่จะไม่ทำให้ซัมเมอร์นี้หวานเลี่ยนเกินไป น้ำหอมกลิ่นนี้ของ LANVIN จะไม่ค่อยกระจายตัว เหมือนฉีดเอง ดมเอง ไม่ทำร้ายคนรอบข้างแน่นอน แถมยังติดทน 3 – 6 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิในวันนั้น) คุ้มค่าคุ้มราคามาก ๆ

น้ำหอม

Honeymania จาก The Body Shop (เดอะ บอดี้ ช็อป) เป็นน้ำหอมที่มีโทนแบบน้ำผึ้งหอมหวาน แต่เป็นกลิ่นหวานที่ไม่เอียน มีความสดชื่นในตัวเอง

Note:

โน้ตของน้ำหอมรุ่นนี้ มีอยู่ 2 อย่างคือ Wild Flower (ดอกไม้ป่า) และ Honey เป็นกลิ่นหวาน ๆ แต่สดชื่นของซัมเมอร์ ติดทนระดับปานกลาง ราคาก็จับต้องได้สมกับเป็น EDT

*EDT หรือ Eau de Toilette เป็นประเภทของน้ำหอมที่มีความติดทนรองลงมาจาก EDP หรือ Eau de Parfum

น้ำหอม

Chloé (โคลเอ้) รุ่น Chloé Signature EDP โบว์ครีมอันแสนโด่งดัง ไม่ติดโพลไม่ได้จริง ๆ สำหรับน้ำหอมโทนกุหลาบกลิ่นนี้ เรายกให้เป็นยาสามัญประจำโต๊ะเครื่องแป้งไปเลย ตัว Signature ให้ความรู้สึกถึงช่อดอกไม้สดใหม่ในยามเช้า ให้วันนั้นของสาว ๆ ดูลูกคุณสุดๆ 

Note:

โน้ตแรกจะเป็นดอกกุหลาบสุดฉ่ำ  บวกด้วยกลิ่นแอมเบอร์นวล ๆ ให้อารมณ์ Old Fashion ตามด้วยมิดเดิลโน้ตที่เบลนด์กันมาอย่างดีด้วยพิโอนี ฟรีเซีย และลิ้นจี่ ใครใช้ก็ดูซอฟต์หวานขึ้นอีก 50% กลิ่นของตัว Signature นั้นแสนอ่อนเบา แต่อยู่ทนอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นน้ำหอมที่ Helena คิดว่าเหมาะสมกับซัมเมอร์ ฉีดแล้วดูสดใส แต่ไม่ใช่ช่อดอกกุหลาบเคลื่อนที่ แต่ถ้าเอาไปฉีดหน้าหนาว ก็หอมนวลน่ากอดสุดๆ เลย

น้ำหอม

สาวสายเข้มที่หาน้ำหอมกลิ่นที่ใช่ไว้ใช้ช่วงซัมเมอร์ต้องลองกลิ่นนี้ค่ะ Black Opium EDP จาก Yves Saint Laurent (อีฟส์ แซงต์ โลรองต์) เป็นกลิ่นที่เท่สมบอดี้เลยทีเดียว

Note:

โน้ตแรกจะเป็นเมล็ดกาแฟ แต่เบรกความเข้มด้วยมิดเดิลโน้ตอย่างมะลิลา และดอกส้ม ปิดท้ายด้วยเบสโน้ตที่ออกแนว Musky นุ่มนวลติดผิวด้วยวานิลลา ซีดาร์ และพัทชูลี เป็นน้ำหอมที่ฉีดตอนกลางวันก็ดูสง่างามท่ามกลางแดดจ้า แต่ถ้าฉีดตอนกลางคืนก็ดูเป็นสาวดุดัน ทว่ายั่วยวน แถมกลิ่นยังทนลืมไปเลย

น้ำหอม

La Vie Est Belle EDP น้ำหอมรุ่นฮิตจาก LANCÔME (ลังโคม) ที่ทางแบรนด์เคลมว่า ได้เชิญปรมาจารย์ด้านน้ำหอมมาร่วมกันปรุง จนได้น้ำหอมรุ่น La Vie Est Belle ที่แปลว่า ชีวิตนั้นช่างสวยงาม มอบกลิ่นอันเป็นตัวแทนของความสุขและความร่าเริงของหญิงสาว ในแบบ Gourmand Accord (กลิ่นผสมจากดอกไม้และผลไม้) หรูหราบ้าบอไปเล้ย

Note:

โน้ตของน้ำหอมกลิ่นนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนสาว ๆ กำลังพักผ่อนในช่วงซัมเมอร์ พร้อมกับกินของหวานที่มีส่วนผสมอย่าง วานิลลา ถั่วพราลีน ผสมกับความสดชื่นของผลไม้สด อย่างแบล็กเคอร์แรนต์ และลูกแพร์หวานจ๋อย

น้ำหอม

เจริญรอยตามความสำเร็จอย่าง Gucci Bloom EDT จาก Gucci (กุชชี่) น้ำหอมรุ่นพี่ แต่น้ำหอมรุ่น Bloom Acqua Di Fiori จะมีชีวิตชีวา กระปรี้กระเปร่า และให้ความสดชื่นที่มากกว่า ชวนให้นึกถึงดอกไม้สด ตัดจากต้นใหม่ ๆ (ถึงได้ชื่อว่า Bloom ไง) พร้อมด้วยกลิ่นดิน และกลิ่นเขียวชอุ่มของธรรมชาติ

Note:

เปิดท็อปโน้ตด้วยใบยี่หร่า และผลแบล็กเคอร์แรนต์  ตัดความกรีนด้วยมิดเดิลโน้ตแบบดอกไม้ ๆ และปิดท้ายเบสโน้ตด้วยไม้แซนดัล และมัสก์ ติดทนสมเป็น EDP แน่นอน ถ้าเบื่อกลิ่นผลไม้ หรือดอกไม้จ๋า ๆ มาลองน้ำหอมแบบกรีน ๆ ก็ดีนะ

น้ำหอม

ต้องบอกเลยว่าน้ำหอม ของ NARCISO RODRIGUEZ (นาร์ซิโซ โรดริเกวซ) รุ่น For Her EDP ขวดสีขมพูนี้ Helena ชอบมากกก ชนิดที่ Hit the Pan กันเลย แม้ตอนลองดมครั้งแรกจะหอมปนงง แต่บอกเลยว่ากลิ่นของเค้ายั่วยวน แซ่บ และไม่ซ้ำใครแน่นอน ฉีดแล้วรู้สึกเป็นผู้หญิงมาดหรูหรา หวานแต่เก๋ และสู้คน!

Note:

สัมผัสแรกของน้ำหอมจะเป็นกุหลาบ พีช และมัสก์ เปิดมาแบบคลีน ๆ ก่อนจะเข้ามิดเดิลโน้ตอย่างดอกส้ม และดอกหอมหมื่นลี้! ปิดท้ายไม่ให้หวานจ๋าเกินหน้าเกินตาซัมเมอร์ ด้วยแอมเบอร์ วานิลลา และ Vetiver หรือหญ้าแฝก ใช้ให้ถูกจุดชีพจร รับรองว่าติดทนข้ามวัน (ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ทำด้วยนะ)

น้ำหอม

น้ำหอม Paul Smith (พอล สมิธ) รุ่น ROSE EDP เป็นโทนกุหลาบแสนรักอีกแบรนด์ ไม่หวาน ไม่เอียน ออกแนวกุหลาบกุหลาบสด Paul Smith ออก Limited Edition ของรุ่น Rose มาตลอด อย่าง Paul Smith Rose Summer 2012 แต่ที่เรายกมาแนะนำใน Helena วันนี้ เป็นกลิ่น Original ที่เอาไปใช้หน้าหนาวก็เหมือนสวมสเวตเตอร์ตัวอุ่น ฉีดช่วงซัมเมอร์ก็ดูเป็นสาวหวานใส แต่ไม่อ่อนต่อโลกนะ

Note:

ท็อปโน้ตของเค้าเป็นไวโอเล็ต ชาเขียว และกุหลาบ ให้ความรู้สึกใส ๆ ก่อนเข้ามิดเดิลโน้ตด้วยกลิ่นแมกโนเลีย และกุหลาบ จบเบสโน้ตด้วยซีดาร์ และมัสก์ ติดทนระดับหนึ่ง และไม่กระจายตัว ใครผิวอุ่น ๆ ยิ่งเข้ากับ Paul Smith Rose EDP รุ่นนี้เลย

น้ำหอม

ซัมเมอร์แบบนี้จะขาด Jo Malone (โจ มาโลน) คอลเลกชัน Wood sage & Sea salt ไปได้อย่างไร กลิ่นของ Jo Malone รุ่นนี้ก็สมชื่อ ฉีดแล้วนึกถึงความหอมละมุน และสดชื่นจากเกลือทะเล เหมือนยืนอยู่หน้าผาที่มีคลื่นซัดตัวอยู่ด้านล่าง แถมเป็นกลิ่นที่เซฮุน น้องเล็กจาก EXO ยังชมเลยว่าหอมมมม

Note:

ท็อปโน้ตของเค้าคือ เมล็ดจากต้นเทียนชะมด (Ambrette Seeds) ในขณะที่มิดเดิลเบสเป็นเกลือทะเล และปิดด้วยกลิ่นหอมเย็นแบบเนื้อไม้ และดินชื้นน้ำอย่าง Sage ดูเป็นซัมเมอร์ที่เย็นใจ และชุ่มชื้นอยู่นะ กระซิบก่อนว่า Wood sage & Sea salt เป็น EDC หรือ Eau de Cologne ที่กลิ่นของน้ำหอมอาจจะไม่ทนเท่า EDP (Eau de Parfum) หรือ EDT (Eau de toilette)

นอกจากการเลือกน้ำหอมให้เข้ากับฤดูกาลแล้ว ก็ต้องมั่นใจว่า มันจะเสริมความมั่นใจให้เราได้ในทุกย่างก้าว ฉีดให้ถูกจุดชีพจร และอย่าลืมเก็บน้ำหอมของสาว ๆ ในที่แห้ง เย็น และมิดชิดจากแสงอาทิตย์ด้วยนะคะ

SHARE

RELATED POSTS