“โรคแพ้น้ำอสุจิ” โรคแปลกแต่มีอยู่จริง! ผู้หญิงไม่ควรละเลยเด็ดขาด
สาว ๆ หลายคนอาจจะไม่เคยได้ยินโรคนี้มาก่อน พอได้ยินชื่อก็แอบสงสัยว่า เอ๊ะ! มีจริงเหรอ? แต่บอกเลยว่ามีจริงค่ะ และยังส่งผลกับชีวิตรักโดยตรง โรคนี้คือ “โรคแพ้น้ำอสุจิ” หรือในทางการแพทย์เรียกว่า Seminal Plasma Hypersensitivity (SPH) หรือ Semen Allergy ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จริง อาการก็จะมีตั้งแต่คัน แสบ บวมแดงทันทีหลังมีเพศสัมพันธ์ ไปจนถึงบางรายที่แพ้รุนแรงถึงขั้นหายใจไม่ออกเลยทีเดียว ดังนั้นสาว ๆ ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด
โรคแพ้น้ำอสุจิ คืออะไร? เรื่องใกล้ตัวที่ผู้หญิงควรรู้
โรคแพ้น้ำอสุจิ หรือ Seminal Plasma Hypersensitivity (SPH) คือภาวะที่ร่างกายเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อโปรตีนบางชนิดในน้ำอสุจิ (Seminal Plasma) ซึ่งเป็นของเหลวส่วนใหญ่ในน้ำอสุจิที่ไม่ได้เป็นตัวเชื้ออสุจิโดยตรง สาเหตุเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันสร้างแอนติบอดีชนิด lgE มาตอบสนองต่อโปรตีนเหล่านั้น จึงทำให้เกิดอาการแพ้
อย่ามองข้าม! สัญญาณเตือนอาการแพ้น้ำอสุจิ
ปกติการแพ้น้ำอสุจิมักจะแสดงอาการภายใน 10-30 นาทีหลังจากที่ร่างกายได้สัมผัสน้ำอสุจิ และอาจอยู่ได้ตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึง 2-3 วัน ส่วนใหญ่แล้วจะค่อย ๆ หายไปใน 24 ชั่วโมง แต่บางคนอาจยังรู้สึกปวด คัน หรือไม่สบายตัวต่อเนื่องไปหลายวันได้ หรือบางคนอาจลากยาวไปหลายสัปดาห์เลยทีเดียว โดยทั่วไปหากเคยมีอาการแพ้น้ำอสุจิแล้ว มักจะเกิดขึ้นได้อีกไม่ว่าจะเปลี่ยนคู่นอนหรือไม่ก็ตาม แต่บางรายก็อาจแพ้เฉพาะกับคู่นอนบางคนเท่านั้น
โดยอาการแพ้น้ำอสุจิ สามารถแบ่งได้ 2 แบบ คือ
- แบบเฉพาะจุด (Localized) อาการจะเกิดขึ้นตรงจุดที่สัมผัสโดยตรง เช่น ช่องคลอด ปากช่องคลอด อวัยวะเพศชาย หรือแม้กระทั่งส่วนอื่น ๆ อย่าง มือ ปาก หน้าอก หรือทวารหนัก อาการที่พบบ่อยก็อย่างเช่น
- คัน แสบ หรือระคายเคือง
- ผิวเปลี่ยนสี แดงเข้มหรือคล้ำ
- ปวด บวมแดง
- บางรายอาจถึงขั้นมีตุ่มน้ำพองเล็ก ๆ บริเวณช่องคลอดและปากช่องคลอด หรืออวัยวะเพศชายก็สามารถเกิดขึ้นได้ (แม้จะเจอไม่บ่อยก็ตาม)
- แบบทั่วร่างกาย (Systemic) บางคนมีอาการแพ้อาจไม่ได้เกิดขึ้นแบบเฉพาะที่ แต่มีอาการลามไปทั้งร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการดังนี้
- มีลมพิษขึ้น
- หายใจลำบาก แน่นหน้าอก
- ริมฝีปาก ลิ้น หรือคอบวม
- คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสีย
และในกรณีที่รุนแรงที่สุด อาจเข้าสู่ภาวะช็อกจากการแพ้ (Anaphylaxis) ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ต้องรีบเข้าพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
ทำไมถึงแพ้น้ำอสุจิได้? สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่ควรรู้
โรคแพ้น้ำอสุจิเกิดจาก ระบบภูมิคุ้มกันเข้าใจผิดว่าโปรตีนในน้ำอสุจิเป็นสิ่งแปลกปลอม จึงสร้างแอนติบอดีชนิด lgE ขึ้นมาต่อสู้ คล้ายกับการที่ร่างกายแพ้เกสรดอกไม้หรืออาหารบางชนิด แม้ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่าทำไมภาวะนี้จึงเกิดขึ้น
- โดยทั่วไปผู้หญิงมักได้รับผลกระทบมากกว่า และมีรายงานว่ากว่า 40% ของผู้หญิงที่เป็นโรคแพ้น้ำอสุจิ เริ่มมีอาการหลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก
- มากกว่า 60% ของผู้ที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคแพ้น้ำอสุจิ มักอยู่ในช่วงอายุ 20–30 ปี แต่บางคนอาจเพิ่งเริ่มมีอาการครั้งแรกหลังหมดประจำเดือน
- ภาวะนี้อาจเกิดขึ้นกับคู่นอนบางคน แต่ไม่เกิดกับอีกคนหนึ่ง และในบางกรณีอาจแสดงอาการทันที แม้กับคู่นอนที่คบหากันมานานแล้วก็ตาม
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคแพ้น้ำอสุจิ ก็อาจมีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไปที่จะพัฒนาอาการนี้ขึ้นมา
จะรู้ได้ยังไงว่าแพ้น้ำอสุจิ? วิธีสังเกตตัวเองเบื้องต้น
หลังจากมีเพศสัมพันธ์แล้วพบว่ามีความผิดปกติ เช่น มีผื่นขึ้น รู้สึกแสบหรือคันบริเวณช่องคลอด หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ควรตั้งข้อสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับภาวะแพ้น้ำอสุจิ วิธีที่ช่วยสังเกตได้ง่าย ๆ คือ หากมีอาการหลังการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย จากนั้นลองมีเพศสัมพันธ์ครั้งต่อไปโดยใช้ถุงยางอนามัย แล้วสังเกตอาการอีกครั้ง ถ้าพบว่ามีอาการเมื่อไม่ใช้ถุงยาง แต่กลับไม่มีอาการเมื่อใช้ อาจเป็นสัญญาณว่ามีอาการแพ้น้ำอสุจิ ควรรีบพบแพทย์โดยเร็วเพื่อทำการรักษาอย่างเหมาะสม
โรคแพ้น้ำอสุจิมีผลต่อการมีลูกไหม?
โดยทั่วไปแล้ว การแพ้น้ำอสุจิไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรงของภาวะมีบุตรยาก แต่สิ่งที่ตามมาคืออาการเจ็บ แสบ หรือไม่สบายตัวขณะมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งอาจทำให้เกิดความกังวลจนหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ จนอาจส่งผลให้โอกาสตั้งครรภ์ลดลงในทางอ้อม แต่สำหรับคู่รักที่ต้องการมีบุตรจริง ๆ ยังมีวิธีการรักษาหรือช่วยเหลือทางการแพทย์ที่สามารถทำได้ เช่น
- การฉีดเชื้ออสุจิเข้าสู่โพรงมดลูก (IUI) โดยนำเชื้ออสุจิมาผ่านกระบวนการล้างเอาโปรตีนในน้ำอสุจิออกก่อน จากนั้นจะฉีดอสุจิเข้าสู่โพรงมดลูกของผู้หญิงโดยตรงในช่วงเวลาที่มีการตกไข่ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคู่รักที่เผชิญกับภาวะแพ้น้ำอสุจิได้
- การฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในไข่โดยตรง (ICSI) แพทย์จะทำการเก็บไข่จากฝ่ายหญิง และเก็บอสุจิจากฝ่ายชาย ก่อนจะคัดเลือกอสุจิที่แข็งแรงที่สุดเพียงหนึ่งตัว ฉีดเข้าไปในไข่ที่สมบูรณ์ที่สุดของผู้หญิง หลังจากนั้นเมื่อไข่ปฏิสนธิกลายเป็นตัวอ่อนแล้ว ก็จะนำกลับไปฝังในโพรงมดลูก วิธีนี้จึงช่วยให้คู่รักที่อยากมีลูกมั่นใจได้มากขึ้นว่าการปฏิสนธิสามารถเกิดขึ้นได้แน่นอน โดยไม่ต้องผ่านการสัมผัสน้ำอสุจิเลย
โรคแพ้น้ำอสุจิ รักษาและป้องกันได้
แม้ว่า “โรคแพ้น้ำอสุจิ” จะฟังดูน่ากังวล แต่จริง ๆ แล้วสามารถป้องกันและจัดการได้หลายวิธี โดยขึ้นอยู่กับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของแต่ละคู่รัก
- การใช้ถุงยางอนามัย
การใช้ถุงยางถือเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุด เพราะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำอสุจิสัมผัสกับเยื่อบุผิวในช่องคลอดโดยตรง ทำให้อาการแพ้ไม่เกิดขึ้นหรือเกิดได้น้อยมาก อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจไม่เหมาะสำหรับคู่ที่กำลังวางแผนมีบุตร จึงควรหาทางเลือกการรักษาอื่น ๆ ร่วมด้วย
- การตรวจสุขภาพ
การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะถ้าสงสัยว่าตัวเองมีอาการแพ้น้ำอสุจิ แพทย์อาจแนะนำให้ฝ่ายชายตรวจวิเคราะห์น้ำอสุจิเพื่อหาสารโปรตีนที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ขณะที่ฝ่ายหญิงอาจต้องตรวจเลือดเพื่อเช็กระดับสารภูมิแพ้ การตรวจที่ถูกต้องจะช่วยยืนยันภาวะนี้ได้ชัดเจน และทำให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
- การปรึกษาแพทย์
หากเริ่มมีอาการ เช่น แสบ คัน หรือระคายเคืองหลังมีเพศสัมพันธ์ ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้หรือสูตินรีแพทย์ทันที เพื่อรับคำแนะนำในการใช้ยา การปรับพฤติกรรม หรือเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะกับร่างกายมากที่สุด
แม้ว่า “โรคแพ้น้ำอสุจิ” จะฟังดูเหมือนเรื่องไกลตัว แต่ความจริงแล้วสามารถเกิดขึ้นได้จริง และส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจให้กับผู้หญิงหลายคน ฉะนั้นการรู้จักสัญญาณเตือน อาการ และวิธีป้องกัน จึงเป็นเหมือนเกราะป้องกันที่ดีที่สุด อย่าลืมว่าสุขภาพทางเพศก็สำคัญพอ ๆ กับสุขภาพกายและใจ การใส่ใจและทำความเข้าใจโรคแพ้น้ำอสุจิ ไม่เพียงช่วยให้ผู้หญิงดูแลตัวเองได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคง ปลอดภัย และเต็มไปด้วยความเข้าใจระหว่างคุณกับคู่รักในระยะยาวอีกด้วย หากสงสัยว่าตัวเองอาจมีภาวะนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมกันนะคะ