![จะถูกจะแพงขอแดงไว้ก่อน](https://helenathailand.co/wp-content/uploads/elementor/thumbs/Red-Lip_cover-of2i4m4oeqndy1qbmxeccajf1efvc7iodfgjvu1kxc.jpg)
ตำนานลิปสติกสีแดงที่บอกได้ว่าทำไมต้อง
‘จะถูกจะแพงขอแดงไว้ก่อน’
‘จะถูกจะแพงขอแดงไว้ก่อน’ ประโยคติดปากและเป็นที่คุ้นหูสำหรับสาวๆ เวลาจะเลือกสีลิปสติกสักแท่ง หลายคนจะต้องนึกถึงสีแดงเป็นอันดับแรกแน่นอน ว่าแต่…ทำไมต้องเป็นสีแดงด้วยล่ะ? เรามาย้อน ตำนานของลิปสติกสีแดง ไปด้วยกันดีกว่าว่ามีจุดเริ่มต้นจากอะไร
![](https://helenathailand.co/wp-content/uploads/2019/10/Red-Lip_01.jpg)
ย้อนกลับไปประมาณ 5,000 ปีก่อน ผู้หญิงในยุคเมโสโปเตเมีย เริ่มรู้จักการทาปาก พบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของอียิปต์ ว่าบนกระดาษปาปิรุสมีรูปหญิงสาวกำลังส่องกระจก แต่งหน้า ทาปากอยู่ และยังเชื่อว่าผู้หญิงมองโกเลีย นำขี้ผึ้งกับไขมันสัตว์มาทาปาก สีแดงที่แต่งแต้มมาจากผลเบอร์รี
ค.ศ.1500 ผู้หญิงสามัญที่ทาปากแดงจะถูกมองว่าเป็นโสเภณี ทาปากเพื่อยั่วยวนผู้ชาย เลยทำให้การทาปากสีแดงเป็นสิ่งที่ชนชั้นสูงทำกันเท่านั้น ในสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 หลังจากนั้น เมื่อหมดสมัยของพระนางแล้ว ลิปสติกก็ถูกแบนจากคริสตจักร
ค.ศ.1770 ลิปสติก เปรียบเหมือนยาเสน่ห์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหมอผี เรื่องไสยศาสตร์ ทำให้รัฐสภาอังกฤษออกกฎหมายให้ผู้ชายสามารถยกเลิกการแต่งงานได้ หากถูกฝ่ายหญิงหลอกให้แต่งงานด้วยการทาลิปสติก
ค.ศ.1884 การทำลิปสติกแบบก้อนที่มาพร้อมพู่กันได้กำเนิดขึ้น โดยบริษัทเครื่องสำอาง Guerlain ตามมาในปี 1915 มีลิปสติกแบบแท่งโลหะ ผลิตโดยบริษัทชื่อดังอย่าง Chanel, Estee Lauder และ Elizabeth Arden
ค.ศ.1940 นักแสดงชื่อดัง Elizabeth Taylor ผู้หลงใหลในลิปสติกสีแดง ได้พูดคำคมเกี่ยวกับลิปสติกไว้ว่า “Pour yourself a drink, put on some lipstick, and pull yourself together.” เป็นคำคมที่หลายคนยังจดจำได้จนถึงทุกวันนี้
ค.ศ.1950 ลิปสติกสีแดงเป็นสัญลักษณ์ของความเซ็กซี่ ดาราชื่อดังในยุคนั้นล้วนแต่ทาปากสีแดงกันเต็มไปหมด และหลังจากนั้น สาวอเมริกาก็ได้หันมาเริ่มทาลิปสติกกัน
ในปี 1980 – 1990 บริษัทเครื่องสำอางเบอร์ใหญ่อย่าง MAC เปิดตัวลิปสติกตัวแรกออกมา ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากการที่ Madonna ทาลิปสติกสีแดงของ MAC ขึ้นคอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์
ผู้ชายใช้สายตามองสาวที่ทาปากแดงนานเกือบหนึ่งนาที!!
![](https://helenathailand.co/wp-content/uploads/2019/10/Red-Lip_02.jpg)
จากการศึกษาของ Manchester University โดยนักวิทยาศาสตร์ พบว่า ขนาดริมฝีปากของผู้หญิงมีผลต่อการดึงดูดใจเพศตรงข้าม และสิ่งสำคัญที่สุดเลยก็คือ สีลิปสติก เมื่อศึกษาการเคลื่อนไหวของสายตาผู้ชายทั้ง 50 คน พบว่า บรรดาผู้ชายมองผู้หญิงที่ไม่ทาลิปสติกเลยเนี่ย ใช้เวลาแค่ 2.2 วินาที ส่วนการมองริมฝีปากชมพู 6.7 วินาที และใช้เวลามองผู้หญิงที่ทาลิปสติกสีแดง นานถึง 7.3 วินาทีเลยทีเดียว โอ้โห… มองนานเกือบหนึ่งนาทีแบบนี้แล้ว ไปดูต่อกันเลยดีกว่าว่า ลิปสติกสีแดงที่ต้องมีติดตัวเอาไว้ มีของแบรนด์อะไรบ้าง
![](https://helenathailand.co/wp-content/uploads/2019/10/Red-Lip_03.jpg)
1. MAC Cosmetics
เฉดสีแดงสุดคลาสสิกของ MAC มีให้เลือกหลากหลายสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นรุ่น Powder Kiss, Matte และ Liquid
![](https://helenathailand.co/wp-content/uploads/2019/10/Red-Lip_04.jpg)
2. Lancome
ลิปสติกสีแดงในตำนานของสาวๆ นอกจากจะมีเม็ดสีชัดเจนแล้ว Packaging ยังดูสวย เหมาะกับการพกไว้เติมระหว่างวัน
![](https://helenathailand.co/wp-content/uploads/2019/10/Red-Lip_05.jpg)
3. Chanel
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า.. ผู้หญิงเกือบทุกคนจะต้องหลงใหลกับลิปสติกของ Chanel ทั้งตัวแท่ง สีลิปสติก เนื้อสัมผัส
![](https://helenathailand.co/wp-content/uploads/2019/10/Red-Lip_06.jpg)
4. YSL
สาวๆ จะต้องพ่ายแพ้ให้กับลิปสติกสีแดงจาก Yves Saint Laurent เพราะเม็ดสีที่ชัดเจนและ Packaging ที่สวยสะดุดตา ทำให้ไม่ซื้อไม่ได้แล้ว
![](https://helenathailand.co/wp-content/uploads/2019/10/Red-Lip_07.jpg)
5. Charlotte Tilbury
แบรนด์ดังจากประเทศอังกฤษที่โด่งดังสุดๆ ในเรื่องของลิปสติก เห็นได้จาก Bloggers และเหล่า Influencers มากมายที่ได้รีวิวเอาไว้
พอรู้ถึงตำนานของลิปสติกแบบนี้แล้ว เห็นได้เลยว่า ลิปสติกกับผู้หญิงเป็นของคู่กันมาทุกยุคทุกสมัย ทำให้ลิปสติกสีแดงเป็นสีคลาสสิก ทาได้ทุกช่วงอายุและทุกสมัย มิน่าล่ะ… ถึงเป็นที่มาของประโยค ‘จะถูกจะแพงขอแดงไว้ก่อน’ นอกจากนี้สีแดงยังช่วยปลุกพลัง สร้างกำลังใจ และทำให้เรารู้สึกมั่นใจยิ่งขึ้นอีกด้วย สาวๆ คนไหนที่รู้สึกหมดแรงก็อย่าลืมหยิบลิปสติกสีแดงมาทา เพราะถ้าปากไม่แดง อาจไม่มีแรงเดิน ได้นะคะ