
ดื่มมัทฉะตอนไหนดี? เคล็ดลับดื่มให้ได้ประโยชน์สูง สุขภาพดีทุกวัน!
ปัจจุบัน “มัทฉะ” ยังคงเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมและกลายเป็นไวรัลในกลุ่มคนรักสุขภาพ รวมถึงผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก จนบางร้านถึงกับของขาดตลาด ด้วยคุณประโยชน์ที่หลากหลาย หลายคนจึงสงสัยว่า ดื่มชามัทฉะตอนไหนดีที่สุด เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุด? บทความนี้ Helena Thailand จะพามาดูคำตอบกัน!
มัทฉะ VS ชาเขียว ต่างกันยังไง แบบไหนดีกว่ากัน?

มัทฉะ (Matcha) และชาเขียว (Green Tea) เป็นชาที่มาจากต้นเดียวกัน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Camellia sinensis แต่มีความแตกต่างกันหลายด้าน เช่น วิธีการปลูก การแปรรูป ไปจนถึงวิธีการชง
โดยมัทฉะจะถูกปลูกในที่ร่ม ทำให้ใบชาผลิตคลอโรฟิลล์มากขึ้น จึงได้สีเขียวเข้ม และรสชาติเข้มข้นกว่าชาเขียว นอกจากนี้กระบวนการแปรรูปก็ยังแตกต่างกันอีกด้วย โดยมัทฉะจะนำใบชามาบดเป็นผงละเอียดเพื่อนำไปชงกับน้ำร้อนแล้วตีให้เกิดฟองโดยใช้แปรงไม้ไผ่ (Chasen) ทำให้เครื่องดื่มมีเนื้อสัมผัสเนียนและเข้มข้น เนื่องจากใช้ทั้งใบชา แต่ชาเขียวจะถูกนึ่ง คั่ว หรืออบแห้ง เวลาจะดื่มก็นำใบชาไปแช่ในน้ำร้อนเพื่อสกัดรสชาติแล้วกรองเอาใบชาออก รสชาติจึงเบากว่า ด้วยความเข้มข้นสูงของมัทฉะจึงให้คุณค่าทางโภชนาการมากกว่าชาเขียวทั่วไป
มัทฉะดีต่อสุขภาพจริงหรือ? เผย 5 ประโยชน์ของมัทฉะ

- เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ มัทฉะมีสารคาเทชิน ที่ช่วยลดการเสื่อมของเซลล์และป้องกันโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ และมะเร็งบางชนิด
- เพิ่มพลังงานและความตื่นตัว มัทฉะมีคาเฟอีนที่ช่วยกระตุ้นระบบประสาทและช่วยให้ตื่นตัว เพราะในมัทฉะจะมีคาเฟอีนประมาณ 38-89 มิลลิกรัม ต่อปริมาณมัทฉะ 8 ออนซ์ (ประมาณ 240 มิลลิลิตร) พอมาทำงานร่วมกับสารคาเทชินจึงช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองและเพิ่มพลังงาน
- มีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก มัทฉะช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน ซึ่งมีส่วนในการช่วยลดน้ำหนักและเพิ่มการเผาผลาญไขมัน (สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) หน่วยงานวิจัยในสหรัฐอเมริกา เผยว่าชาเขียวมีส่วนช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน ลดการสร้างและดูดซึมไขมันในร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลต่อน้ำหนักตัว มีการทดลองประสิทธิภาพการช่วยลดน้ำหนักของชาเขียว โดยให้ผู้ร่วมทดลองที่มีน้ำหนักเกิน 76 ราย ดื่มชาเขียวทุกวันเป็นเวลา 4 เดือน พบว่าผู้ทดลองสามารถลดน้ำหนักได้จริง)
- ช่วยบำรุงผิวพรรณ ชาเขียวมีส่วนช่วย และส่งเสริมการสร้างผิวหนังใหม่ คอลลีน ไทเลอร์ (Colleen Tyler) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญธรรมชาติบำบัดและนักดื่มชาตัวยงเผยว่า หากนำมัทฉะมามาส์กหน้าจะช่วยลดรอยแดงและช่วยให้ผิวพรรณสุขภาพดี เพราะคุณประโยชน์ของสารคาเฟอีนและ EGCG ในมัทฉะ
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและบำรุงสมอง มัทฉะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบในร่างกาย อีกทั้งยังมี แอลธีอะนีน (L-theanine) ที่มีส่วนเพิ่มสมาธิและลดความเครียด ทำให้สมองผ่อนคลายและตื่นตัวไปพร้อมกัน
ดื่มมัทฉะตอนไหนดีที่สุด ได้ประโยชน์สูงสุด?

โดยทั่วไปการดื่มมัทฉะ ควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ประโยชน์โดยไม่เกิดผลข้างเคียง ซึ่งปริมาณที่แนะนำบริโภคต่อวันคือ 3-5 แก้ว หากมากเกินกว่านี้อาจส่งผลเสียกับร่างกายได้ เพราะในชานั้นมีสารแทนนิน (Tannins) สูง อาจรบกวนการดูดซึมธาตุเหล็กและสารอาหารบางชนิด เช่น วิตามิน B12 นอกจากนี้คาเฟอีนในชาเขียวยังส่งผลให้หัวใจเต้นเร็ว หรือมีปัญหาการนอนหลับได้ ฉะนั้นการดื่มให้เหมาะสมกับร่างกายก็จะได้ประโยชน์เต็มที่
เมื่อรู้ถึงปริมาณการดื่มที่เหมาะสมกับร่างกายแล้ว การดื่มในแต่ละช่วงเวลาก็ยังให้ประโยชน์กับร่างกายต่างกันอีกด้วยนะ
แนะนำ
- ดื่มมัทฉะหลังอาหารเช้า 30 นาที – ช่วยให้ร่างกายตื่นตัวและสดชื่น
- ดื่มมัทฉะ 30 นาทีก่อนออกกำลังกาย – ช่วยเผาผลาญไขมัน กระตุ้นร่างกายให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่า ทำให้การออกกำลังกายได้ยาวนานขึ้น
- ดื่มมัทฉะช่วงบ่าย (ก่อน 15:00 น.) – ช่วยโฟกัสและลดอาการง่วง
หลีกเลี่ยง
- ไม่ควรดื่มมัทฉะหลังอาหารทันที – สารแทนนิน (Tannins) ในชาเขียว อาจลดการดูดซึมธาตุเหล็กและสารอาหารบางชนิด เช่น วิตามิน B12 หากจะดื่มหลังอาหาร ควรรออย่างน้อย 30 นาที – 1 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้เต็มที่
- ไม่ควรดื่มมัทฉะตอนเย็นหรือก่อนนอน – คาเฟอีนในมัทฉะอาจทำให้รบกวนการนอนได้ โดยเฉพาะผู้ที่ร่างกายไวต่อคาเฟอีน
กินมัทฉะคู่กับอะไรดี? อาหารที่เข้ากัน และอาหารที่ควรเลี่ยง

มัทฉะมีรสชาติที่เข้ากันได้ดีกับขนมที่ไม่หวานมาก เช่น ขนมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม เช่น โมจิ ถั่วแดงกวน และดังโงะ เพราะมีความหวานอ่อน ๆ ตัดรสขมของมัทฉะได้ดี หรือผลไม้รสเปรี้ยวอย่างส้มและสตรอว์เบอร์รี ซึ่งช่วยตัดความฝาดของชาได้ดี ถั่วและธัญพืช เช่น อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ หรือข้าวโอ๊ตก็เป็นตัวเลือกที่เข้ากัน เพราะให้รสมันที่เสริมรสชาติของชา นอกจากนี้ อาหารญี่ปุ่น เช่น ซูชิ หรือซุปมิโสะ ก็กินคู่กับชาเขียวได้อย่างลงตัว
อย่างไรก็ตาม ก็มีอาหารบางอย่างที่ไม่ควรกินคู่กับมัทฉะเช่นกัน

- ไม่ควรดื่มมัทฉะกับนมวัว เพราะโปรตีนในนมวัว หรือที่เรียกว่า เคซีน อาจไปลดการดูดซึมสารสำคัญบางตัวในมัทฉะ และลดประสิทธิภาพของสารต้านอนุมูลอิสระในชา ทำให้ประโยชน์ของมัทฉะลดลงได้ ใครที่ชอบดื่มชาเขียวที่มีส่วนผสมของนม ลองใช้นมพืช เช่น นมอัลมอนด์ หรือนมข้าวโอ๊ตแทนได้นะ
- ไม่ควรดื่มมัทฉะกับอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ผักโขม หรือเต้าหู้ เพราะอาจทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้น้อยลง ถ้าต้องกินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ควรเว้นช่วงห่างจากการดื่มชาอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง
- ไม่ควรดื่มกับอาหารที่มีน้ำตาลสูง อาจกระตุ้นให้ร่างกายเกิดภาวะอักเสบและความเครียดออกซิเดชัน (Oxidative Stress) ซึ่งตรงข้ามกับประโยชน์ของมัทฉะที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ รวมทั้งน้ำตาลทำให้ระดับอินซูลินพุ่งขึ้นเร็ว อาจกระทบต่อระบบเผาผลาญและก่อให้เกิดโรคได้
- ไม่ควรดื่มมัทฉะกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะฤทธิ์กระตุ้นประสาทของคาเฟอีนในมัทฉะอาจขัดกับฤทธิ์กดประสาทของแอลกอฮอล์ ทำให้ร่างกายสับสนและเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ปวดศีรษะ หรืออาเจียน
- ไม่ควรดื่มมัทฉะกับยาและอาหารเสริมบางชนิด ควรหลีกเลี่ยงการดื่มมัทฉะร่วมกับยาและอาหารเสริมบางชนิด เช่น
- ยาลดความดันโลหิต → คาเฟอีนอาจทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นชั่วคราว
- ยาลดกรด → คาเฟอีนอาจกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะ
- ยานอนหลับ → คาเฟอีนอาจรบกวนการทำงานของยา ทำให้นอนหลับยากขึ้น
- อาหารเสริมธาตุเหล็ก → EGCG อาจลดการดูดซึมธาตุเหล็กหากต้องกินยา ควรเว้นระยะ 1-2 ชั่วโมงก่อนหรือหลังดื่มมัทฉะ
การดื่มมัทฉะให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกาย เพราะแม้จะมีข้อดีมากมาย แต่การดื่มมากเกินไปหรือในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมก็อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ ดังนั้นควรดื่มอย่างพอดี ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างสมดุลและแข็งแรงกันด้วยนะ